วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เทคนิคการฝึกภาษาอังกฤษที่ใครๆก็ทำได้

เทคนิคการฝึกภาษาอังกฤษ ที่ผมใช้ได้ผลกับตัวเอง

ถ้าหากจะให้ผมแนะนำการฝึกภาษา ผมก็คงต้องบอกก่อนว่า เทคนิคของแต่ละคนนั้น ไม่ใช่สูตรสำเร็จ แต่เป็นเพียงแนวทางที่แต่ละคนได้ทดลองใช้แล้วและได้ผลดีกับตัวเอง

การที่ได้ผลดีกับคนๆ นึง ไม่ได้แปลว่าจะได้ผลกับทุกๆ คน วิธีนึงอาจจะดีสำหรับคนนึง แต่กับคนอื่นอาจะจไม่ได้ผลก็ได้ ดั้งนั้ง ผมคงจะถือว่าเป็นการบอกเล่าถึงวิธีการของผมว่าผมทำอย่างไรบ้าง แล้วลองทำดู ถ้าได้ผลดีก็เอาไปใช้ครับ ถ้าเห็นว่าไม่ดี ไม่เหมาะกับตัวเอง ก็ลองพัฒนาเทคนิคที่ตัวเองชอบ และประยุกต์ใช้ให้เห็นผลจริงครับ

ตอนมาเรียนใหม่ๆ ผมทำงานแค่สามวัน ดังนั้นก็จะมีเวลาฝึกฝนอยู่พอสมควร สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผมใช้กับตัวเองและได้ผลค่อนข้างดี



1. การเขียน

ผมเป็นคนชอบเล่าเรื่องครับ การฝึกเขียนที่ง่ายที่สุด ก็คือการเขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวเองและกิจกรรมต่างๆ ที่กระทำไป เพราะเรามีข้อมูลดิบที่จะนำมาถ่ายทอดอยู่แล้ว เหลือเพียงพยายามนำมาเรียบเรียงให้ผู้อื่นอ่านแล้วเข้าใจเท่านั้น

แต่ละวันผมจะฝึกเขียนประมาณครึ่งหน้ากระดาษ หรือประมาณร้อยห้าสิบถึงสองร้อยคำ เพื่อบอกเล่าสรุปว่าแต่ละวันมีเหตุการณ์อะไรน่าสนใจ หรือไปไหนมาบ้าง เจออะไรบ้าง อะไรแบบนี้ครับ

ผ่านไประยะหนึ่ง ก็เริ่มพัฒนาเป็นการเขียนแบบแสดงความคิดเห็น เช่นว่า วันนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเป็นที่ถกเถียงกัน เราเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไรบ้าง พร้อมกับยกเหตุผลมาประกอบ

แล้วถ้ามีโอกาสก็เอาไปขอให้ครูที่โรงเรียนตรวจให้ หรือถ้าครูไม่ว่างก็ขอให้เพื่อนที่เรียนระดับสูงๆ ช่วยตรวจให้ แต่ก่อนจะไปขอเค้าตรวจให้ได้นั้น เราก็ต้องสนิทกับเค้าในระดับนึงก่อนนะครับ และคนๆ นั้น ต้องเป็นคนที่ชื่นชอบที่จะช่วยตรวจให้เพื่อนที่เรียนในระดับต่ำกว่า หรือถ้าเป็นอาจารย์ ก็อาจารย์ที่ยินดีจะสละเวลาเล็กๆ น้อยๆ เพื่อนักเรียน ไม่ใช่ครูประเภททำงานฆ่าเวลาแลกเงินไปวันๆ

จากที่เขียนสั้นๆ ก็เริ่มเขียนยาวขึ้น แต่เมื่อมันยาวขึ้น ความถี่ในการขอให้เค้าตรวจให้ก็ต้องลดน้อยลง ไม่งั้นก็จะเป็นการรบกวนเค้าเกินไป แต่ครูส่วนใหญ่ ถ้านักเรียนสนใจที่จะเขียนแบบนี้นะ ถ้าว่างเค้ายินดีตรวจให้อยู่แล้ว


2. การฟัง

คนส่วนใหญ่ เวลาไปไหนมาไหน จะมี ipod หรือ mp3 player ติดหูกันประจำอยู่แล้ว ร้อยละเกือบร้อยก็ฟังเพลง และที่ร้ายกว่านั้น นักเรียนไทยส่วนใหญ่ ดันชอบเอาเพลงไทยไปฟังด้วยสิ (แล้วมันจะฝึกได้มั้ยภาษาเนี่ย)

หลายคนชอบเรียนรู้จากเพลง หรือหนัง แต่มันไม่ได้ผลกับผม เพราะเค้าพูดกระซิบกระซาบเกินไป จนผมจับไม่ได้ว่าเขาพูดอะไร ทำให้ไม่เกิดอะไรกับสมองผมเลย และมันก็กลายเป็นฟังเอาจังหวะทำนองไปเท่านั้น ดังนั้นเวลาไปไหนมาไหน แทนที่จะฟังเพลง ผมก็เลยเอาคลิปเสียงสอนภาษาหรือคลิปสารคดีเพื่อฝึกภาษาไปฟังแทน ทำให้เราสามารถเรียนรู้การฟังได้แม้แต่เวลานั่งอยู่บนรถ บนเรือ บนรถไฟ ฯลฯ นอกจากนั้นแล้ว เราก็ยังได้ความรู้จากสิ่งที่เค้าสอน หรือความรู้รอบตัวจากคลิปสารคดีเหล่านั้นด้วยครับ

ผมมองว่า เป้าหมายการเรียนของเราคือการนำไปใช้ในแวดวง academic ดังนั้นการฝึกเรียนรู้จากแวดวง academic น่าจะเป็นผลดีมากกว่าที่จะเรียนจากภาษาประจำวันทั่วไป ดังนั้น เวลาอยู่บ้าน ผมก็จะหาคลิปจากเน็ตพวก youtube Google video มานั่งดู โดยจะเป็นคลิปพวกสารคดี อะไรแบบนี้ ทำให้เราได้ทั้งความบันเทิง ความรู้รอบตัว และได้ฝึกภาษาไปในตัวด้วย

หลายๆ คำที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ ก็ได้มาจากคลิปต่างๆ เหล่านี้แหละครับ ทั้งคลิปเสียง คลิปภาพ เพราะมันเป็นการใช้ภาษาแบบ academic ทำให้เราได้คำศัพท์ขึ้นมาอีกในระดับนึง

คลิปเสียง ผมโหลดจากนี่ครับ

http://www.voanews.com/wordmaster อันนี้เป็นคลิปสอนภาษา

http://www.voanews.com/specialenglish/index.cfm อันนี้เป็นข่าวและสารคดี ที่เค้าพูดช้าๆ ครับ ใช้ฝึกตอนเริ่มต้นได้ดี

ทั้งสองแหล่งเป็นสำเนียงอเมริกันเป็นหลักนะครับ เพราะว่าเป็นของ Voice of America มีหลายคนบอกว่าที่ BBC ก็มีเหมือนกัน แต่ผมไม่เคยไปหาดูเลย


อีกวิธีนึงที่ผมใช้ก็คือ การดูหนังเรื่องเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาเป็นสิบๆ รอบ หนังที่ผมใช้คือ Harry Potter เพราะเป็นหนังที่ใช้ภาษาได้สวยงาม และง่ายต่อการจับใจความ รวมทั้งมีตั้งหลายภาค ทำให้ดูซ้ำไปซ้ำมาก็ไม่เบื่อนัก การดูหนังซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ จะทำให้มันซึมเข้าสู่จิตใต้สำนึกของเราโดยอัตโนมัติ เวลาเราได้ยินคำศัพท์ที่เค้าใช้ในหนัง สมองเราจะโยงศัพท์คำนั้นเข้ากับตัวละครและสถานการณ์ในหนัง ทำให้เราเข้าใจศัพท์ได้ง่ายขึ้นว่า เวลาเค้าพูด เค้าพูดในสถานการณ์ไหน ในความหมายว่ายังไง มีวิธีใช้ยังไง และเวลาเค้าพูด เค้าใช้น้ำเสียงแบบไหน

เมื่อรวมๆ กันเข้าหลายๆ วิธี มันก็ช่วยให้เกิดการพัฒนาทีละเล็กละน้อย ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยจริงมั้ยครับ


3. การอ่าน

มาใหม่ๆ ผมยืมนิยายเด็กๆ จากห้องสมุดมาอ่านครับ เพราะศัพท์ง่าย แล้วพอเริ่มเก่งขึ้นก็ค่อยเลื่อนระดับขึ้นไปเรื่อยๆ อ่านนิยายเด็กเพลินดีครับ ไม่เครียดเหมือนนิยายผู้ใหญ่

ส่วนการอ่านอื่นๆ ในทาง academic นั้น ผมค่อนข้างจะฝึกน้อยอยู่พอสมควร จะมีบ้างก็เวลาผมนั่งหาข้อมูลต่างๆ ในเน็ตนั่นแหละครับ ถึงจะได้อ่านมากหน่อย

การฝึกอ่านที่จะทำให้เราทนเสียเวลาอ่านได้นานๆ คืออ่านในเรื่องที่เราสนใจ อย่างผมเองสนใจเรื่องเครื่องบิน ผมก็ไปเสาะหาแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องบินรุ่นต่างๆ มานั่งอ่านไปเรื่อยๆ เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ข้ามบ้าง เปิดดิคไปบ้าง แต่พออ่านมากๆ เข้า ทักษะการจับใจความมันจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาเองโดยที่เราก็ไม่ทันได้สังเกตครับ

ตอนนี้ผมกำลังอ่าน Harry Potter อยู่ แต่คาดว่าคงใช้เวลาอีกนานพอสมควรกว่าจะอ่านจบทั้ง 7 เล่ม เพราะเล่มใหญ่เหลือเกิน ฮ่าๆ ๆ แต่อ่านไปแล้วเข้าใจเลยว่า ทำไมคนที่อ่าน Harry Potter มาก่อน แล้วมาดูหนัง ถึงได้บอกว่าหนังแย่กว่าในหนังสือมาก เพราะมันเป็นยังงั้นจริงๆ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม หนัง Harry Potter ก็เป็นหนังที่ผมชอบที่สุดในชีวิตอยู่ดี อิอิ

และจากทักษะที่เพิ่มขึ้นมานี้ เมื่อเราต้องไปอ่านเรื่องอื่นที่เราไม่คุ้นเคย เราก็จะสามารถเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้นครับ


4. การพูด

คุณสมบัติที่ดีที่ผมมีอย่างนึงก็คือ ความไม่อายที่จะผิด ดังนั้น ผมจึงพยายามฝึกพูดทุกครั้งที่มีโอกาส (และมีอารมณ์)

ตอนมาใหม่ๆ ผมขยันมาก เวลาอยู่บ้านถ้าวันไหนไม่ได้ไปทำงาน ผมจะเอาหนังสือนิยายที่ว่าข้างต้นนั่นแหละครับ มานั่งอ่านออกเสียงให้ตัวเองฟังอยู่ในห้องนอน คำไหนอ่านไม่ออกก็เอาทอกกิ้งดิคมาเปิดฟังแล้วก็ลองอ่านตาม อ่านถูกอ่านผิด สำเนียงไม่ดีช่างมัน พูดให้คล่องปากไว้ก่อน พอทำบ่อยๆ เข้า มันก็จะเริ่มชิน ขยับปากได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่ภาษาพ่อแม่เรานี่นาจะได้พูดทีสองทีก็พูดได้แล้ว ขนาดภาษาไทยแท้ๆ บางคำยังผมยังออกเสียงไม่ได้เลย

อีกวิธีที่ใช้ ซึ่งอันนี้ได้ฝึกพูดและฟังด้วย ก็คือ การทำเนียนเข้าไปตามร้านขายของหรือบริการต่างๆ ที่เราไม่ต้องซื้อทันที เช่น ร้านขายตั๋วเครื่องบิน ร้านขายมือถือ เป็นต้น อันที่จริงร้านไหนก็ได้ที่เราพอจะมีพื้นฐานความรู้บ้าง เพื่อจะได้มีเรื่องไปคุยกับเค้า แต่ผมเลือกบริษัทขายตั๋วเครื่องบินหรือนำเที่ยว ซึ่งหน้าที่ของเค้าคือพูดจาหว่านล้อมให้เราซื้อทริป หรือตั๋วเครื่องบิน เมื่อเค้าอยากขายเราอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่ว่าเราจะโง่แค่ไหนก็ตาม เค้าก็จะพยายามพูดๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ จนเราเข้าใจ หรือถ้าเราพูดไม่รู้เรื่อง เขาก็จะพยายามฟังๆ ๆ ๆ จนเข้าใจจนได้ ฮ่าๆ ๆ ๆ

วันดีคืนดี ผมก็แกล้งถือแผนที่ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวไปถามทางตามป้ายรถเมล์ บางคนก็บอกทางเฉยๆ แต่บางคนก็ใจดี ก็ชวนเราคุยนั่นนี่นู่นในขณะรอรถเมล์ บางคนใจดียิ่งกว่าก็พาไปด้วยกันเพราะขึ้นรถสายเดียวกันก็มี ทำให้ได้มีโอกาสคุยกันไปจนถึงปลายทาง

หรือถ้านั่งรถไฟไปไหนไกลๆ จะหาโอกาสคุยกับคนที่นั่งใกล้ๆ แก้เซ็งไปตามทางครับ ก็เลยเป็นที่มาของการเจอกิ๊กบนรถไฟที่เคยเล่าในพันทิปนั่นเอง อิอิ

อันที่จริงมีเรื่องนึงที่ผมภูมิใจมากเกี่ยวกับการฝึกพูด ก็คือ ตอนมาใหม่ๆ ผมออกเสียง ส เสือ ซ โซ่ และตัว เอส ไม่ได้ครับ เพราะว่าตอนเด็กๆ ผมเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ฟันหน้าร่วงไปหมดเลย การออกเสียงมันก็เลยแปลกๆ

ผมก็บอกไม่ถูกว่าผมออกเสียงเป็นแบบไหน แต่พูดทีไรโดนหัวเราะทุกที ผมก็เลยตั้งใจแน่วแน่ว่า ภายในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ จะต้องหัดพูดเสียง ส.เสือ ซ.โซ่ และตัว เอส ให้ได้ แล้วผมก็ไปพูดๆ ๆ ๆ ซ้ำๆ ๆ ๆ คำที่มีเสียงนั้นรวมอยู่ด้วย พูดมันทั้งวันทั้งคืน

พอถึงวันจันทร์ ผมพูดกับอาจารย์ อาจารย์ทำหน้าแปลกใจมากๆ เพราะผมสามารถออกเสียง เอส ได้อย่างถูกต้อง (หรือเพี้ยนน้อย) ไม่ตลกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เท่านั้นแหละ อาจารย์ก็ยกเป็นตัวอย่างให้เพื่อนๆ ดูกันใหญ่เลยว่า ดูนะขนาดเขามีปัญหาทางสรีระร่างกาย เขายังพยายามเอาชนะมันจนสามารถพูดได้ แล้วพวกเธอครบถ้วนไม่มีปัญหาอะไรยอมแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด... น่าน ว่าไปนั่น ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ


5. แกรมม่า
ในเรื่องแกรมม่านั้น ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องหนักหนาเกินไปสำหรับเรานักเรียนไทยอยู่แล้ว เพราะพื้นฐานแกรมม่าของพวกเราเทียบกับชาติอื่นๆ แล้ว ค่อนข้างจะดีมาก เพราะเราเรียนแบบนี้กันมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งถ้าเราติดขัดอะไรเราสามารถอ่านเอาได้จากหนังสือ หรืออ่านแล้วสงสัยตรงไหน ก็ค่อยถามเพื่อนหรือถามครูทีหลังได้ไม่ยากเพราะมันอยู่ในหนังสืออยู่แล้ว


บทสรุป
ศัตรูตัวร้ายของการฝึกภาษาก็คือ ความอาย ความไม่กล้า และความขี้เกียจ ล่ะครับ ภาษาเป็นทักษะต้องฝึกบ่อยๆ แล้วจะค่อยๆ ดีขึ้นเองครับ

ผมเองตอนนี้ก็ไม่ได้เก่งเลยครับ เพียงแต่ด้วยความที่ผมไม่อายที่จะพูด ไม่อายที่จะผิด เมื่อไหร่ที่มีโอกาสฝึกผมจึงไม่รีรอที่จะหาช่องเสียบให้ได้ โดยเฉพาะถ้าเป้าหมายหน้าตาถูกใจเจ๊ รับรองไม่มีพลาดแน่นอน 555

http://aussiethai.com/educationview.php?tid=314  

1 ความคิดเห็น:

  1. สุดยอดครับ ความสำเร็จเป็นของขวัญ ของผู้ที่มีความพยายาม

    ตอบลบ