วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โครงสร้างประโยคที่ไม่ยากอย่างที่คิด

Sentence  ในภาษาไทยและภาษาอังกฤษนั้น มีลักษณะใกล้เคียงกันมาก ทั้งรูปแบบโครงสร้างประโยค   การเรียงประโยค  จึงอาจทำให้ผู้ที่เข้าใจภาษาไทย  สามารถเรียนรู้และเข้าใจภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็ว

            ก่อนที่จะได้ทำการจำแนกแบ่งซอย Sentence(ประโยค) ขอนำคำนิยามความหมายที่ปรากฏอยู่ในพจนานุกรมหลายเล่มมาประมวลเอาไว้พอสังเขปดังนี้
            สรุปได้ว่า
Sentence(ประโยค) หมายถึง  กลุ่มคำที่ประกอบด้วยภาคประธาน  และภาคขยายประธาน ที่เรียงประกอบเข้าด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ โดยแสดงข้อความที่มีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง
Sentence (ประโยค)  โดยทั่วไปแล้วจะประกอบด้วย ภาคประธาน (Subject) และภาคขยายประธาน หรือภาคแสดง (predicate)  ตัวอย่างเช่น
I  am  a  monk. 
ผมเป็นพระ
            ภาคประธาน (Subject) คือ    I
            ภาคขยายประธาน หรือภาคแสดง (predicate)  คือ   am  a  monk
Mahachulalongkornrajavidyalaya  university  is  the  Buddhist  university.
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยทางพระพุทธศาสนา
ภาคประธาน (Subject) คือ    Mahachulalongkornrajavidyalaya   university 
            ภาคขยายประธาน หรือภาคแสดง (predicate) คือ   is  the Buddhist  university
ฯลฯ
            Sentence (ประโยค)  ในภาษาอังกฤษ  ท่านได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1.      Simple  Sentence ( ประโยคความเดียว หรือเอกัตถประโยค)
2.      Compound  Sentence ( ประโยคความรวม หรืออเนกัตถประโยค)
3.      Complex   Sentence ( ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค)
4. compound – Complex  Sentence ( ประโยคความผสม หรือ อเนกัตถสังกรประโยค)
ต่อไปจะได้กล่าวถึงความหมายและรายละเอียด  กฎเกณฑ์ของ  Sentence (ประโยค)  แต่ละข้อ
ที่ได้กล่าวมาแล้ว  ตามลำดับดังต่อไปนี้
1. Simple  Sentence  แปลว่า  ประโยคความเดียว หรือเอกัตถประโยค หมายถึง ข้อความที่พูด
ออกไปแล้ว มีใจความเดียว  ไม่กำกวม  สามารถเข้าใจเป็นอย่างเดียวกันระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง  เป็นประโยคที่มีประธานตัวเดียว  และกิริ ยาตัวเดียว  ตัวอย่างเช่น
-Venerable  Tawan  is  my  friend.
 ท่านตะวันเป็นเพื่อนของผม
- Buddhism  is  one  of  the  great  world  religions.
 พระพุทธศาสนาเป็นหนึ่งในบรรดาศาสนาโลกที่ยิ่งใหญ่
ฯลฯ
หมายเหตุ :   พึงสังเกตประโยคแต่ละประโยคข้างต้นเหล่านี้   จะเห็นว่าแต่ละประโยคจะมีประธาน
ตัวเดียว และกิริยาตัวเดียว จึงทำให้สามารถทราบได้ว่าเป็น   Simple  Sentence (ประโยคความเดียว หรือเอกัตถประโยค) ตามความหมาย และกฎเกณฑ์ข้างต้น
นอกจากนั้นแล้ว   Simple  Sentence  (ประโยคความเดียว หรือเอกัตถประโยค)  ยังสามารถแบ่งเป็น
ประโยคย่อยๆ ได้อีก 6 รูปแบบ ดังนี้คือ
1.      ประโยคบอกเล่า  ( Affirmative  Sentence)
2.      ประโยคปฏิเสธ ( Negative  Sentence )
3.      ประโยคคำถาม ( Interrogative  Sentence )
4.      ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ (Negative  Question  Sentence)
5.      ประโยคข้อร้องหรือบังคับ ( Imperative Sentence)
6.      ประโยคอุทาน (Exclamation  Sentence)

ก่อนอื่นก็ขอเริ่มต้นอธิบายเป็นลำดับไปดังนี้
1.ประโยคบอกเล่า  ( Affirmative  Sentence)  ได้แก่  ประโยคที่มีเนื้อความบอกเล่าตามธรรมดา 
ไม่อยู่ในรูปคำถาม  ปฏิเสธ  อุทาน  หรือ ขอร้องและบังคับ 
  ตัวอย่างเช่น
            - I  am  studying  at  a  university  in  Nakornratchasima  province.
            ผมกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา
            - Wat  Isaan  is  located  in  Nakornratchasima  city.
วัดอิสานตั้งอยู่ในตัวเมืองนครราชสีมา
ฯลฯ
2.ประโยคปฏิเสธ ( Negative  Sentence ) ได้แก่  ประโยคที่มีเนื้อความปฏิเสธ  ตัวอย่างเช่น
- The  Pali  language  is  not  difficult  for  monks.
ภาษาบาลีเป็นภาษาที่ไม่ยากสำหรับพระ
- Thailand  is  not  the  largest  country  in  the  world.
ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ฯลฯ
3.ประโยคคำถาม ( Interrogative  Sentence ) ได้แก่  ประโยคที่มีเนื้อความเป็นคำถาม  เพื่อ
ต้องการทราบคำตอบ  
ตัวอย่างเช่น
            - Are  you  a  monk ?
            ท่านเป็นพระหรือ ?
            - What  is  Buddhism?
            พระพุทธศาสนาคืออะไร?
ฯลฯ
4. ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ (Negative  Question  Sentence) ได้แก่ประโยคที่มีเนื้อความเชิง
ปฏิเสธ    ตัวอย่างเช่น
            - Does  not  she  believe  in  you?
            หล่อนไม่เชื่อคุณหรือ?
            -  Why  do  not  you  do  that  again?
            ทำไมคุณถึงไม่ทำมันอีกครั้ง?
ฯลฯ
5.      ประโยคข้อร้องหรือบังคับ ( Imperative Sentence)  ได้แก่  ประโยคที่มีเนื้อความขอร้องหรือบังคับให้กระทำ 
ตัวอย่างเช่น
5.1    ประโยคที่มีเนื้อความขอร้อง  เช่น
- I  beg  your  pardon.
ผมขอโทษ
- You  should  follow  my  words.
ท่านควรทำตามคำพูดของผม
ฯลฯ
5.2    ประโยคที่มีเนื้อความบังคับ  เช่น
- Do  as  my  suggestion.
จงทำตามคำแนะนำของผม
- Open  the  door  now.
            จงเปิดประตูเดี๋ยวนี้
ฯลฯ
6.      ประโยคอุทาน (Exclamation  Sentence) ได้แก่  ประโยคที่มีเนื้อความเปล่ง
อุทานขึ้น  มีทั้ง  ตกใจ  ปะหลาดใจ   เศร้าใจ  ดีใจ  เป็นต้น
   ตัวอย่างเช่น
            How  nice  she  is !
            หล่อนช่างดูดีจริงๆ !
            What  the  hottest  month  it  is!
            มันช่างเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดอะไรเช่นนี้ !
ฯลฯ
2.  Compound   Sentence  แปลว่า  ประโยคความรวมหรืออเนกัตถประโยค  หมายถึง  ประโยคที่มีข้อความ  2  ข้อความมารวมกัน  พูดง่าย ๆ คือ  ประโยคความเดียว 2 ประโยคมารวมกัน แล้วเชื่อมด้วย  co-ordinate  conjunction (ตัวเชื่อมประสาน)  ได้แก่ and, or, but, so, still, yet, etc.  และ  conjunctive  adverb (คำวิเศษณ์เชื่อม) ได้แก่  however, meanwhile, therefore, otherwise, thus, etc.
 2.1 Compound  Sentence ( ประโยคความรวม หรืออเนกัตถประโยค) ที่เชื่อมด้วย  co-ordinate  conjunction (ตัวเชื่อมประสาน)  ได้แก่  and, or, but, so, still, yet, etc.
ตัวอย่างเช่น
            - Venerable  Tawan  can  speak  English  and  he  can  speak  Loa.
            ท่านตะวันสามารถพูดภาษาอังกฤษและสามารถพูดภาษาลาวได้
            - Phramaha  Charoen  does  not  study  Loa  yet  he  can  speak it.
            พระมหาเจริญไม่ได้ศึกษาภาษาลาวถึงกระนั้นเขาก็สามารถพูดภาษาลาวได้
ฯลฯ
            2.2 Compound  Sentence (ประโยคความรวม หรืออเนกัตถประโยค)  ที่เชื่อมด้วย conjunctive  adverb (คำวิเศษณ์เชื่อม) ได้แก่  however, meanwhile, therefore, otherwise, thus, hence, nevertheless, etc.
ตัวอย่างเช่น
- Venerable  Prakorng  was  ill, thus  he  went  to  see  a  doctor  at  a  hospital.
ท่านประคองป่วยดังนั้นเขาจึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
- Jess  comes  to  see  me at  a  temple, meanwhile  I  teach  her  Buddhism.
 เจสมาหาผมที่วัดระหว่างนั้นผมก็สอนพระพุทธศาสนาให้เธอด้วย
ฯลฯ
หมายเหตุ :  จากตัวอย่าง  จะเห็นได้ว่า Compound  Sentence  เกิดมาจาก  Simple  Sentence  2  ประโยคมารวมกัน   แล้วคั่นกลางประโยคทั้งสองด้วย    co-ordinate  conjunction (ตัวเชื่อมประสาน) และ  conjunctive  adverb  (คำวิเศษณ์เชื่อม) 
3.  Complex   Sentence  แปลว่า  ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค หมายถึง  ประโยคที่มี
เนื้อความซับซ้อน  ถ้าขาดเนื้อความใดเนื้อความหนึ่งแล้ว ทำให้เนื้อความไม่สมบูรณ์  จะใช้ตัวเชื่อมที่เรียกว่า sub - ordinate  conjunction (คำเชื่อมแฝง) ได้แก่  if, before, because, as if, since, etc. และ relative  pronoun(สัมพันธ์สรรพนาม) ได้แก่  who, what, where, that, which, etc.
            3.1  Complex   Sentence (ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค) ที่เชื่อมด้วย sub - ordinate  conjunction (คำเชื่อมแฝง) ได้แก่  if, before, because, as if, since, etc.
ตัวอย่างเช่น
            - Before I  go  out, I  would  like  to  leave  my  messages.
            ก่อนที่ผมไป ผมอยากจะทิ้งข้อความของผมเอาไว้
            - Venerable  Somporn  talks  as  if  he  was  able  to  speak  English.
            ท่านสมพรพูดราวกับว่าเขาสามารถพูดภาษาอังกฤษได้    
            3.2  Complex   Sentence (ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค) ที่เชื่อมด้วย  relative  pronoun (สัมพันธ์สรรพนาม) ได้แก่  who, what, where, that, which, etc.  
 ตัวอย่างเช่น
The  monk  who  is  standing  over  there  is  my  friend.
พระผู้ซึ่งกำลังยืนอยู่ที่นั่นคือเพื่อนของผม
The  monk  whose  book  was  stolen  is  student.
พระผู้ซึ่งหนังสือของเขาถูกขโมยคือนักเรียนของผม
ฯลฯ
หมายเหตุ :  จากตัวอย่าง  จะเห็นได้ว่า Complex  Sentence (ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค) เชื่อมด้วย sub - ordinate  conjunction (คำเชื่อมแฝง) ได้แก่  if, before, because, as if, since, etc. และ relative  pronoun (สัมพันธ์สรรพนาม) ได้แก่  who, what, where, that, which, etc. เพื่อทำให้สองประโยคมีความหมายที่สมบูรณ์
4.      Compound – Complex  Sentence แปลว่า ประโยคความผสม หรือ อเนกัตถสังกรประโยค 
หมายถึง ประโยคที่มีเนื้อความหลายเนื้อความมาอยู่รวมกัน  โดยไม่จัดเข้าเกณฑ์ตามแบบประโยคที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น หรืออาจกล่าวง่ายๆ ว่า ไม่จัดเข้าพวก ทั้งสามประโยคที่กล่าวมาข้างต้น และมีกฎเกณฑ์สลับซับซ้อน  
ตัวอย่างเช่น
            - Venerable  Kitti  can  not  remember  whose  book  it  is, so  he  asks  his  friend.
            ท่านกิตติไม่สามารถจำว่าหนังสือนี้เป็นของใครได้ ดังนั้นเขาจึงถามเพื่อนของเขา
- Venerable  Manop  does  not  understand  what  teacher  explains, yet  he  writes  it  down  in  his  note  book.
          ท่านมานพไม่เข้าใจในสิ่งที่ครูกำลังอธิบาย ถึงกระนั้นก็ตามเขาก็ได้จดมันไว้ในสมุดจดบันทึกของเขา
ฯลฯ
            หมายเหตุ :  จากตัวอย่าง  จะเห็นได้ว่า compound - complex  sentence (ประโยคความผสมหรือสังกรอเนกัตถประโยค) มีประโยคเล็กที่เรียกว่า  clause (อนุประโยค) แทรกเขามาท่ามกลาง Compound   Sentence (ประโยคความรวมหรืออเนกัตถประโยค) 


สรุป

Sentence หมายถึง  กลุ่มคำที่ประกอบด้วยภาคประธาน  และภาคขยายประธาน ที่เรียงประกอบเข้าด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ โดยแสดงข้อความที่มีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง
            Sentence (ประโยค)  ในภาษาอังกฤษ  ท่านได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1.      Simple  Sentence (ประโยคความเดียวหรือเอกัตถประโยค) แบ่งออกเป็น6คือ
1.1  ประโยคบอกเล่า  (Affirmative  Sentence)
1.2  ประโยคปฏิเสธ (Negative  Sentence )
1.3  ประโยคคำถาม (Interrogative  Sentence)
1.4  ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ (Negative  Question  Sentence)
1.5  ประโยคข้อร้องหรือบังคับ ( Imperative Sentence)
1.6  ประโยคอุทาน (Exclamation  Sentence)
2.      Compound  Sentence (ประโยคความรวม หรืออเนกัตถประโยค)
3.      Complex   Sentence (ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค)
4.      Compound – Complex  Sentence (ประโยคความผสม หรือ อเนกัตถสังกรประโยค)

By
Phramaha  Surasak Suramedhi ,President  of  English  Club
(B.A. in English(3rd Years) MCU.NM., B.B. DOU, USA.(In progress) )  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น