วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วิธีการฝึกทักษะการอ่าน (Reading Skill)

     การฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ มีความสำคัญที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปแก้ปัญหาต่างๆ ได้การเรียนรู้ทักษะการอ่านแบบต่าง ๆ ได้แก่ การอ่านแบบ skimming, scanning และ speed reading เมื่อรู้เทคนิคการอ่านแล้ว ผู้เรียนควรเริ่มฝึกโดยการอ่านเรื่องที่น่าสนใจเรื่องสั้นๆ ให้ผู้เรียนได้ทำการศึกษาและตีความหมายจากการอ่านได้ อย่างเข้าใจ

วิธีการฝึกการอ่านภาษาอังกฤษ

หากเราต้องการฝึกฝนทักษะการอ่านภาษาอังกฤษได้ง่าย ๆ โดยอาจเริ่มต้นจากการอ่านป้ายโฆษณา หรือ Billboard ต่างๆ ตามข้างถนนที่เราเห็นโดยทั่วไป ลองอ่านและทำความเข้าใจว่าคำต่าง ๆ ว่าโฆษณานั้น ๆ พยายามสื่ออะไรให้เรา จากการอ่านข้อความสั้น ๆ ก็เริ่มอ่านบทความที่ยาวขึ้น เช่น หากชอบอ่านข่าวสาร อาจเริ่มต้นจากการอ่านบทความในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ โดยอาจเริ่มจากระดับไม่สูงมากนัก เช่น Student weekly เป็นต้น หรือหากชอบอ่านนิตยสาร ก็ลองหานิตยสารภาษาอังกฤษจำพวก Hello, Elle มาอ่านก็ได้ หากชอบอ่าน นวนิยาย หรือการ์ตูน อันนี้ขอแนะนำว่าควรเริ่มอ่านจาก นวนิยาย หรือวรรณกรรมเยาวชนสำหรับเด็กอายุ 7-9, 10-12, teenagers, จนถึงสำหรับผู้ใหญ่ (adult fictions)


วิธีการอ่านภาษาอังกฤษง่าย ๆ

วิธีการอ่านภาษาอังกฤษง่าย ๆ มีอยู่ 3 อย่างคือ Skim, Scan และ Speed เราสามารถฝึกทักษะเหล่านี้ และเลือกใช้ตามความเหมาะสม
Skimming reading เป็นการอ่านแบบคร่าว ๆ ผิวเผิน เป็นการอ่านเพียงเพื่อให้ทราบว่าเรื่องนี้ บทความนี้ พูดถึงเรื่องอะไร มีภาพรวมอย่างไร
ส่วน Scanning reading เป็นการอ่านเพื่อหาข้อมูลเฉพาะจากบทความนั้น ๆ ดังนั้น Skim และ Scan จึงเป็นทักษะการอ่านที่จำเป็นในการสอบ หรือเมื่อมีเวลาจำกัด วิธีการทั้งสองอย่างนี้ จำเป็นต้องมีการฝึกฝน เพื่อให้เกิดความชำนาญ ‘Skimming reading’ สามารถฝึกได้โดยไม่อ่านทุกคำ
ใช้ นัยต่าง ๆ ที่สามารถหาได้จากบางส่วนของบทความนั้น ๆ เช่น หัวเรื่อง หัวข้อ หรือ ข้อย่อยต่าง ๆ หรืออาจเป็นรูปภาพที่สามารถบอกเล่าได้ถึงเหตุการณ์ที่กล่าวถึงในบทความนั้น ๆ ใช้สายตาของเรากวาดไปทั่วทั้งบทความเพื่อหา Keywords และข้ามคำที่เราไม่เข้าใจไปที่คำอื่น ๆ ที่เราเข้าใจแทน

Skimming reading มีหลักการอ่านมีดังนี้
1. อ่านชื่อเรื่อง, หัวเรื่อง, และหัวข้อต่าง ๆ เพื่อหาว่าบทความนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
2. ดูภาพประกอบเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อนั้น ๆ
3. อ่านประโยคแรกและประโยคสุดท้ายของทุกย่อหน้า
4. อย่าอ่านทุกคำ ทุกประโยคใช้สายตากวาดไปทั้งบทความแล้วเลือกคำสำคัญต่าง ๆ
5. พิจารณาถึงความหมายของคำต่าง ๆ ที่เลือกมา

Scanning reading เป็นเทคนิคการอ่านเพื่อต้องการหาคำตอบที่ต้องการ เช่น คำศัพท์ ชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่งเป็นต้น แล้วมองหาคำ ๆ นั้น
ในบทความ เทคนิคการอ่านแบบ Scanning มี 6 ข้อดังนี้
1. อย่าพยายามอ่านทุกคำ ให้ใช้สายตาอ่านไปอย่างรวดเร็วทั่วทั้งหน้าจนเจอสิ่งที่เราต้องการหา
2. ใช้นัยต่าง ๆ บนหน้านั้น ๆ เช่น หัวข้อ และชื่อเรื่องช่วยในการอ่าน
3. ในพจนานุกรม หรือสมุดโทรศัพท์ ใช้คำใน “หัวข้อ” เพื่อช่วยในการมองหา เราสามารถมองหาคำเหล่านี้ได้จากตัวหน้าที่ส่วนบนของทุกหน้า
4. ถ้าเราอ่านเพื่อศึกษา ,เพื่อการเรียน , เริ่มต้นโดยการคิดถึง และเขียนคำถามที่เราต้องการหาคำตอบก่อน ซึ่งจะทำให้เราสามารถโฟกัสไปที่สิ่งที่การหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อตอบคำถามนั้น ๆ ได้ง่ายขึ้น
5. ทำให้บทความต่าง ๆ สามารถหาได้ง่ายขึ้น โดยอาจเรียงตามตัวอักษร ใช้ดัชนีท้ายหนังสือในการช่วยค้นหา
6. มีหลายวิธีในการฝึกทักษะการ Scan ได้ เช่นการค้นหาเบอร์โทรศัพท์ร้านอาหารต่างๆในสมุดหน้าเหลือง เป็นต้นทักษะการอ่านสองอย่างข้างต้น
ส่วนมากเราจะใช้เมื่อต้องการความ เร็ว แต่หากเราอ่านเพื่อความบันเทิง อ่านเพื่อเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ความเร็วไม่ได้มาก่อนความเข้าใจ เทคนิคทั้งสองอย่างข้างต้นไม่จำเป็นสำหรับการอ่านของเรา

Speed reading คือ การฝึกอ่านให้เร็วทำได้โดยการนำเอาเทคนิคการ Skim มาปรับใช้ นั่นคือ อ่านไปเรื่อย ๆ หากไม่เข้าใจคำใด
ให้ พิจารณาหาความหมายของคำ ๆ นั้นจากบริบทของมัน แทนการเปิดพจนานุกรม ซึ่งจะทำให้เสียเวลาและสร้างความเบื่อหน่ายให้เราได้ นอกจากนี้ เราควรอ่านในสิ่งที่เราสนใจ เพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย อย่างที่กล่าวข้างต้นแล้วว่าหนังสืออ่านเล่น ในภาษาอังกฤษมักจะมีการแบ่งอายุผู้อ่านไว้ก่อนแล้ว การเลือกซื้อจึงไม่ยาก พิจารณา ก่อนว่าภาษาอังกฤษของเรานั้นอยู่ในระดับใด หรือไม่ก็ลองเปิดอ่านคร่าว ๆ ก่อน ว่าพอจะอ่านรู้เรื่องไหม การเลือกเรื่องควรเป็นเรื่องที่เราอ่านแล้วเข้าใจอย่างน้อย 70 % เพื่อไม่ให้เราเบื่อหน่ายกับการอ่านสิ่งที่ไม่เข้าใจมากจนเกินไป และเป็นการทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อีก 30 %หลังจากนั้น
http://www.skoolbuz.com/library/content/1954 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น